ป.ป.ช.ภาค 7 เดินหน้าสางทุจริตประกาศภัยพิบัติฉุกเฉินซื้อสาร บีที ปลอม 193 ล้านปราบแมลงดำหนามสวนมะพร้าว

แชร์ข่าวนี้

ภาพ-ข่าว สุรยุทธ ยงชัยยุทธ

วันที่ 10 มีนาคม จ่าเอกเสกสรรค์ จันทร แกนนำเครือข่ายต่อต้านการทุจริต จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า ได้รับการร้องเรียนให้ตรวจสอบการใช้ประโยชน์หอประชุมที่ว่าการอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ เก็บสาร บีที ใช้กำจัดแมลงดำหนามในสวนมะพร้าว มูลค่า 32.8 ล้านบาท ในหอประชุมใกล้บ้านพักรองผู้ว่าราชการจังหวัด และทราบว่ามีการเก็บสารเคมีชนิดเดียวกันอีกมูลค่า 24 .7 ล้านบาท กองในเมรุร้าง ที่วัดนาหูกวาง อ.ทับสะแก จนหมดอายุการใช้งาน หลังจากเมื่อปีงบประมาณ 2555 มีการประกาศเขตภัยพิบัติฉุกเฉินเพื่อจัดซื้อสาร บีที สำหรับกำจัดแมลงในสวนมะพร้าว แต่กรมวิชาการเกษตรมีหนังสือด่วนที่สุดเมื่อเดือนสิงหาคม 2555 แจ้งว่าบริษัทคู่สัญญาในการจัดซื้อกับหน่วยงานในจังหวัดได้นำสินค้าที่ไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายทางการเกษตร ไม่ได้แจ้งเพื่อดำเนินการผลิต จึงไม่สามารถนำมาจำหน่ายกับทางราชการได้ ทำให้การระบาดของหนอนหัวดำเมื่อหลายปีก่อนส่งผลกระทบกับผลผลิตมะพร้าวในจังหวัด เป็นสาเหตุทำให้รัฐบาลต้องนำเข้าจากต่างประเทศหลายแสนตัน

“ ทราบว่าเจ้าหน้าที่จากสำนักงาน ป.ป.ช.ภาค 7 จะเดินทางมาตรวจสอบพร้อมสอบติดตามรายละเอียดความคืบหน้ากับผู้บริหารระดับจังหวัดที่กำกับดูแลเกษตร ปภ. ปกครองจังหวัด ในวันที่ 11 มีนาคม นี้ หลังจากบริษัทเอกชนนำสินค้าทั้งหมดเก็บไว้ล่วงหน้าในหอประชุมอำเภอเมืองและวัดนาหูกวาง ต่อมาทางราชการไม่เบิกจ่ายงบจัดซื้อ แต่สินค้าทั้งหมดไม่ได้เคลื่อนย้ายออกไปจากสถานที่ราชการและวัด ปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้นานเกือบ 10 ปี มีการล้อมรั้วลวดหนาม “จ่าเอกเสกสรรค์ กล่าว

จ่าเอกเสกสรรค์ กล่าวอีกว่า เมื่อปี 2560 ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้เดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยขอให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เร่งหาวิธีการกำจัดสารดังกล่าวเพื่อไม่ให้มีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมกับเมืองท่องเที่ยว ไม่ควรมีขยะพิษเก็บไว้ใจกลางเมือง หอประชุมอำเภอควรนำมาใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า ไม่ควรปล่อยให้เอกชนใช้เก็บวัตถุอันตราย และจะต้องเรียกค่าใช้จ่ายในการสารพิษไปทำลายจากบริษัทที่นำสารบีทีมาเก็บไว้ แต่หลังจากนั้นยังไม่มีความคืบหน้า เนื่องจากบางหน่วยงานในจังหวัดไปแจ้งความดำเนินคดีกับกับเจ้าของสาร บีที ทั้งที่ทราบว่าบริษัทขายสินค้าได้เลิกกิจการแล้ว

“ จากการตรวจสอบย้อนหลังในปีงบประมาณ 2553 -2554 พบว่ามีใช้เงินทดรองราชการจากการประกาศเขตภัยพิบัติฉุกเฉินของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ( ปภ.) จัดซื้อซื้อสารบีทีกว่า 193,5 ล้านบาท แจกจ่ายให้เกษตรกร แต่ไม่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การรับรองสินค้า ดังนั้นเครือข่ายฯจะสอบถามรายละเอียดจากกรมวิชาการเกษตร หลังทักท้วงในเดือนสิงหาคม 2555 แล้วการใช้งบประมาณจำนวนมากจัดซื้อสินค้าชนิดเดียวกัน หน่วยงานที่จัดซื้อเข้าข่ายถูกเรียกเงินคืนหรือไม่ “จ่าเอกเสกสรรค์ กล่าว และว่า จากนั้นจะทำหนังสือสอบถามสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินภูมิที่ 12 จ.เพชรบุรี ภายหลังสอบข้อเท็จจริงในการจัดซื้อสารบีที ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2553 -2554 วงเงิน 193,577,000 บาท มีข้อสรุปในการทุจริตหรือไม่ หลังจากผ่านไปเกือบ 10 ปี

นายธนนท์ พรรณพีพาส นายอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า เพิ่งมารับตำแหน่งใหม่ สำหรับการดำเนินการตามขั้นตอนจะต้องสอบถามรายละเอียดจากปกครองจังหวัด กรณีสาร บีที.ทั้งหมดยังเป็นของกลางในคดีที่อยู่ระหว่างการฟ้องร้องหรือไม่ หากคดีสิ้นสุดแล้วก็ควรรื้อออกไป

/////////////////////////////////