ภาพ-ข่าว สุรยุทธ ยงชัยยุทธ
จากกรณีอ่าวประจวบฯ ในเขตเทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่ด้านหน้ากองบิน 5 ถึงด้านหน้าสำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีการปล่อยน้ำจากชุมชนที่ไม่ผ่านการบำบัดลงบนพื้นที่ชายหาดต่อเนื่องในพื้นที่ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ทำให้มีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยว
จากการสำรวจพบว่ามีการปล่อยน้ำจากชุมชนผ่านท่อพลาสติค และท่อคอนกรีตมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดตั้งแต่ 10 นิ้วถึง 1.50 เมตร ตลอดแนวชายหาดรวมกว่า 30 จุด ขณะที่เทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์และองค์การจัดการน้ำเสีย ( อจน.) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดการระบบบำบัดน้ำเสียรวม ที่ใช้งบก่อสร้างมูลค่ากว่า 400 ล้านบาทบริเวณด้านหลังวัดธรรมิการามวิหาร ปล่อยให้น้ำจากชุมชนไหลลงชายหาด โดยไม่ผ่านระบบบำบัดดังกล่าว จึงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับ สัตว์น้ำ ระบบนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมชายฝั่งทะเล กระทบกับแหล่งท่องเที่ยวหลักใจกลางเมือง เนื่องจากน้ำที่ไหลจากชุมชนลงบนชายหาดมีสีคล้ำ มีกลิ่นเน่าเหม็น มีสิ่งปฏิกูลปะปน
วันที่ 13 กรกฎาคม จ่าอากาศเอกเสกสรรค์ จันทร คณะทำงานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทสจ.) ว่า ผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำทิ้งในห้องปฏิบัติการที่สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค 8 ซึ่งเก็บตัวอย่างน้ำทิ้งหลายจุดบริเวณอ่าวประจวบคีรีขันธ์ ไปตรวจพบว่าคุณภาพน้ำไม่ได้มาตรฐาน ขณะที่การลงพื้นที่ของหลายหน่วยงานมีข้อมูลยืนยันตรงกันว่ามีน้ำลักษณะสีน้ำตาลเข้มไหลออกมาจากท่อพร้อมขยะ ทั้งนี้หลังจาก ทส.จ. รับรายงานทางวิชาการ ผู้รับผิดชอบโดยตรงตามกฎหมายประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ฐานะเจ้าพนักงานควบคุมมลพิษ ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
“ ขณะที่เทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลระบบบำบัดน้ำเสียต้องชี้แจงว่าเหตุใดไม่ใช้งบ 17 ล้านบาทที่สภาผ่านงบให้แล้วเพื่อแก้ปัญหา ขณะเดียวกันต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบของบ้านเมือง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 และทำตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัด นอกจากนั้นสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค ที่3 จะต้องดำเนินการตามกฎหมายกับเทศบาลเมืองประจวบฯตามมาตรา 119 และมาตรา 119 ทวิ พ.ร.บ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 มีโทษทั้งจำทั้งปรับ มีการชดใช้ค่าเสียหายจากผู้กระทำความผิด และการดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อเอาผิดกับเทศบาล จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปทส. และเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมชี้มูลความผิด” จ่าอากาศเอกเสกสรรค์ กล่าว
จ่าอากาศเอกเสกสรรค์ กล่าวอีกว่า เพื่อให้มีการระงับยับยั้งความเสียหายจากการปล่อยน้ำเสียลงชายหาด ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานใดแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง กระทบกับสิ่งแวดล้อมและ การท่องเที่ยว นอกจากคณะทำงานฯ จะแจ้งความดำเนินคดีเพื่อให้ ป.ป.ช.ไต่สวน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เอาผิดกับหน่วยงานที่เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่แล้ว หลังจากนี้จะมีการยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง จังหวัดเพชรบุรี เพื่อให้ศาลมีสั่งปิดท่อระบายน้ำทิ้งลงชายหาด และฟ้องเรียกค่าเสียหายให้หน่วยงานรัฐชดใช้ทางละเมิดเพื่อเยี่ยวยาผลกระทบตลอดแนวชายหาด
////////////////////////