สระบุรี  คืบหน้า ตร.แจงชายฉกรรจ์ 3 คนใช้ปืนจ่อหัวตรวจค้นฉกเงิน 3 พันบาท** ชาญวิทย์ คำนวนวุฒิ รายงาน

แชร์ข่าวนี้

 

สระบุรี  คืบหน้า ตร.แจงชายฉกรรจ์3คนใช้ปืนจ่อหัวตรวจค้นฉกเงิน3พันบาท

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 จากกรณีที่นายวีรชาติ พัฒเกตุ หรือแป๊ะ อายุ 33 ปีร้องผู้สื่อข่าวว่าตนเองมีเรื่องอยากร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวว่าตนเอง ถูกชายฉกรรจ์ 3 คนบุกเข้ามาใช้ปืนจ่อหัว และขอตรวจค้นภายในรถ เพื่อหาสิ่งผิดกฎหมาย แต่ไม่พบ หลังจากตรวจค้นเสร็จเงินในกระเป๋ากางเกงได้หายไป 3,000 บาท จากนั้นตนเองได้ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.หนองแค เรื่องผ่านมาจน 2 เดือนกว่าแต่คดีไม่คืบหน้า จึงอยากร้องร้องสื่อให้ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้ด้วย

โดยนายวีรชาติ ได้ลำดับเหตุการณ์ให้ฟังว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2566 ขณะที่ตนเองได้ขับรถกระบะยี่ห้อ โตโยต้า ไฮลัก รีโว่ สีบรอนเงิน หมายเลขทะเบียน 3ฒข 3278 กรุงเทพมหานคร มาจอดอยู่บนถนนภายในซอยสุขาวดี ต.โคกแย้ อ.หนองแค จ.สระบุรี เพื่อที่จะมาหาเพื่อน และสอบถามหาซื้อถ่านหุง ต้ม เพื่อที่จะนำไปขายต่อ จากนั้นได้มีรถกระบะ รีโว่ 4 ประตูสีดำเข้ามาจอดที่ท้ายรถ โดยมีชายฉกรรจ์ 3 คนลงมาจากรถ และชักปืนออกมาจ่อที่ตนเอง และบังคับให้ลงรถ ซึ่งตนเองก็ตกใจว่าใครมาทำอะไร ตนเองก็สงสัยว่าเป็นตำรวจหรือเปล่า ซึ่งก็ไม่มีการแสดงบัตรอะไรมาให้รู้ โดยพูดบังคับให้ลงจากรถมา ถ้าไม่ลงมาจะยิง โดยชายทั้ง 3 คนแต่งกายด้วยเสื้อลายสก็อต กางเกงขายาว โชคดีที่มีชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้นได้ออกมาบอกว่าไม่ให้ชักปืนออกมา และบอกกล่าวห้ามปราม ซึ่งชายทั้ง 3 คนได้ค้นภายในรถแต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายไดๆ

จากนั้นได้มาค้นตัวของตนเอง ตนเองจึงได้ถอดกางเกงออกให้ค้น ตรวจสอบเพื่อที่ตนเองจะได้ดูชายที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจค้นรถ เนื่องจากเกรงว่าจะถูกยัดยา และเมื่อตรวจค้นภายในกางเกงเสร็จ ตนเองก็เอากางเกงมาใส่ โดยที่ไม่ได้ตรวจสอบดู และเมื่อตรวจสอบดูพบว่า เงินที่อยู่ภายในกระเป๋ากางเกงได้หายไปจำนวน 3,500 บาทซึ่งเงินในกระเป๋ากางเกงมีอยู่จำนวน 6,500 บาท เหลือเงินอยู่เพียง 3,000 บาท ซึ่งตนเองได้ไปแจ้งความไว้แล้วที่ สภ.หนองแค ในวันที่เกิดเหตุ ซึ่งตนก็พยายามสองภามไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หนองแค ก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร

ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นผ่านมาเป็นระยะเวลากว่า 2 เดือนแล้ว ซึ่งตนเองก็เพิ่งมาทราบว่าชายฉกรรจ์ 3 คนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.หนองแค จริง ซึ่งตนเองกลัวว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะรู้ และช่วยเหลือกันทางด้านคดี โดยทำให้สำนวนอ่อนลง และเกรงว่าตนเองจะไม่ได้รับความเป็นธรรม และคดีก็ไม่มีความคืบหน้า โทรไปหาร้อยเวรก็ได้รับคำตอบว่ามีงานเยอะ ตนเองก็ทุกข์ใจเกรงว่าจะถูกกลั่นแกล้งได้ นายวีรชาติ กล่าวเสริมว่า จากเหตุการณ์ในวันนั้นถ้าเกิดปืนลั่นใส่ตนเอง แล้วทำให้ตนเองเสียชีวิต ลูก ของตน 3 คน และเมียของตน การดำรงชีวิตก็น่าจะลำบาก โดยขาดเสาหลักของครอบครัวไป ตนคิดว่าเรื่องนี้ตนเองน่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงได้ออกมาร้องสื่อให้ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้ โดยตนเองจะดำเนินการให้ถึงที่สุด โดยจะไม่มีการยอมความไดๆทั้งสิ้น

ล่าสุดวันนี้ พ.ต.อ.สุรเชษฐ แสนวงศ์สิริ ผกก.สภ.หนองแค จ.สระบุรี ได้ชี้แจงกับผู้สื่อข่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นนั้น ตนเองได้รับแจ้งเบื้องจากพนักงานสอบสวน ต้นตั้งแต่กลางเดือน ธันวาคม และได้สั่งให้ทำการสอบสวนแล้ว ซึ่งมีการให้การขัดแย้ง ระหว่างตำรวจ และผู้ที่ถูกตรวจค้น และบางส่วนก็เหมือนกัน ซึ่งพยานก็ให้การไม่เหมือนกัน ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา ส่วนเรื่องเงินที่ผู้เสียหายแจ้งว่าเงินหายไป 3,500 บาทนั้น ทางผู้เสียหาย อาจจะไม่ได้หายไปจริง หรือตำรวจไม่ได้เอาไป

ซึ่งอาจจะใช้จ่ายไปเองแล้วหลงลืม ซึ่งข้อนี้ไม่ติดใจ แต่มาติดใจเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่มีการชักปืนขึ้นข่มขู่ ซึ่งข้อขี้ได้ดำเนินการตรวจสอบอยู่ ในเบื้องต้นชายทั้ง 3 คนที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หนองแค จริง 2 นาย ส่วนอีกคนเป็นอาสาตำรวจ ซึ่งขึ้นบันชีไว้ว่าเป็นคนช่วยงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งตอนนี้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 นายที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันนั้นเขียนคำชี้แจงมา ส่วนมีผู้เกี่ยวข้องตนเองก็จะโยกออกมาเพื่อที่จะทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง ซึ่งถ้าพิสูจน์ทราบว่ามีการกระทำความผิดจริง ก็จะต้องมีการลงโทษ

ส่วนเรื่องที่คดีมีความล่าช้านั้นตนเองยอมรับว่ามีความล่าช้าจริงๆ ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งตนเองรับทราบว่าเรื่องได้ส่งมายังรอง ผกก.เพื่อพิจารณาต่อไป ซึ่งอยู่ในขั้นตอนที่ดำเนินการอยู่ ซึ่งมีการสอบปากคำพยานอีกหลายปาก ซึ่งในเหตุการณ์มีที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ 3 นาย มีผู้อยู่ในเหตุการณ์อีก 3 คน และชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์อีก 4-5 คน ก็จะเรียกมาสอบทั้งหมดเพื่อให้ได้ขบวนความที่แท้จริง ส่วนเรื่องที่ผู้เสียหายเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้น ตนเองจะให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย

ซึ่งจะไม่มีการเข้าข้างใคร เพราะว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กระทบกับประชาชน ซึ่งถ้าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยการข่มขู่สมัยนี้มันไม่มีการกระทำแบบนี้อีกแล้ว ซึ่งถ้าตรวจสอบแล้วว่าเจ้าหน้าที่กระทำความผิด ก็จะต้องดูกำหนดบทลงโทษ ถ้าเข้าข่ายรังแกประชานอาจจะต้องผิดวินัยร้ายแรง ซึ่งโทษอาจถึงไล่ออกได้เลย แต่ต้องดูว่าจริงหรือไม่ แต่ตอนนี้เราฟังเพียงคำพูด แต่ในคลิปเห็นเฉพาะในการตรวจค้นแต่ไม่เห็นในตอนที่ผู้เสียหายมีการกล่าวอ้างว่ามีการชักอาวุธปืนขึ้นมาข่มขู่ ซึ่งต้องอาศัยพยานแวดล้อม ซึ่งเป็นพยานบุคคลอีก 7-8 ปากซึ่งเมื่อสอบแล้วก็จะทราบข้อเท็จจริงต่อไป ซึ่งก็คงจะไม่นานเนื่องจากตัวพนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนไปให้รอง ผกก.ตรวจสอบแล้ว และในวันนี้ตนเองก็จะได้เรียกมาดูเพื่อที่จะได้เร่งรัดให้รวดเร็วขึ้น ซึ่งเดินตนเองคิดว่าเรื่องนี้เรียบร้อยไปแล้วก็เลยไม่ได้ติดตามผล

** ชาญวิทย์ คำนวนวุฒิ รายงาน