สระบุรี  โอละพ่อ ไม่มีพี่ ม.2 สวมหน้ากากคาบูกิ ใช้มีดฟันแขนน้อง ม.1เจ็บเป็นเพียงกิ่งไม้เกี่ยวแขน

แชร์ข่าวนี้

 

สระบุรี  โอละพ่อ ไม่มีพี่ ม.2 สวมหน้ากากคาบูกิ ใช้มีดฟันแขนน้อง ม.1เจ็บเป็นเพียงกิ่งไม้เกี่ยวแขน

วันที่ 22 พฤษภาคม 2567 จากกรณีที่ ผู้ใช้เฟสบุ๊กชื่อ พูลเดช ได้โพสต์ข้อความพร้อมรูปถ่ายลงในเพจข่าวด่วนสระบุรี มีข้อความว่า พูลเดช “ลูกชายเพิ่งเข้าเรียนชั้น ม.1 รร.แห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี ถูกรุ่นพี่ ม.2 (มีเครื่องหมายที่เสื้อระบุว่าอยู่ ม.2) ใช้มีดฟันเป็นแผลที่แขนยาวประมาณ 4 ชม. เหตุเกิดใน รร.ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และตั้งแต่เปิดเรียนเข้าเป็นนักเรียนใหม่ของ รร.แห่งนี้เข้าสัปดาห์ที่ 2 ลูกชายยังไม่รู้จักใครมากนัก และยังไม่เคยมีเรื่องกับใคร วันนี้ผมจึงเดินทางไปพบ ผอ.รร.เพื่อให้สืบสวน และหาตัวคนฟันมาลงโทษให้ได้ เพราะนักเรียนที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงแบบนี้ เป็นอันตรายต่อนักเรียนคนอื่นและลูกชายอาจโดนอีกก็ได้ ผมสันนิษฐานว่า เด็กที่ก่อเหตุอาจเขม่นหรือไม่ชอบหน้าลูกชาย ด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบได้ แต่ที่ยอมรับไม่ได้คือ เด็กที่ก่อเหตุใช้ความรุนแรงกับเพื่อนนักเรียนด้วยกันถึงขนาดใช้อาวุธทำร้าย โชคดีที่แผลไม่ลึกมาก ถ้าลึกถึงเส้นเลือดใหญ่ หรือโดนอวัยวะส่วนใดฉีกขาด หรือแทง ลูกชายอาจบาดเจ็บมาก หรือเสียชีวิตได้ ผมจะรอดูว่า รร.สืบสวนหาตัวนักเรียนที่ก่อเหตุได้หรือไม่ ซึ่งไม่น่ายาก ผอ.รร.บอกว่าตั้งแต่เป็น ผอ.มา 4 ปี ไม่เคยเกิดเหตุแบบนี้อันนี้ผมไม่ทราบได้ เพราะเพิ่งเป็นส่วนหนึ่งของ รร.ได้ไม่กี่สัปดาห์ นับตั้งแต่ลูกชายเข้าเป็นนักเรียนของที่นี่ แต่ผมคิดว่า เมื่อเกิดเหตุลักษณะร้ายแรงนี้ขึ้นแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายหรือเสียชื่อเสียงที่จะต้องซุกไว้ แต่เป็นสิ่งบอกเหตุว่าพฤติกรรมของเด็กมีความรุนแรงขึ้น และ รร. จะต้องรับมือ ด้วยความเข้มงวดระมัดระวัง และลงโทษจริงจังครับ สิ่งหนึ่งที่ผมเสียใจวันนี้ นอกจากลูกชายถูกกระทำแล้ว รร.กลับมาสอบสวนลูกชายว่า มีพฤติกรรมหรือความประพฤติไม่ดีอะไรหรือเปล่า แทนที่จะมุ่งหาตัวคนผิด ตัดต้นต่อความรุนแรง ลูกชายผมไม่ได้เป็นนักเลง ไม่เคยใช้ความรุนแรงกับเพื่อนใน รร. ใจดีกับเพื่อนทุกคน อาจจะมีท่าทางกระด้างหรือยียวนบ้าง ก็ตามวิสัยเด็กผู้ชายทั่วไปสมัยนี้ แต่ไม่มีพิษมีภัยหรือทำร้ายใคร”

จากนั้นนายพูลเดช  อายุ 63 ปี และนางสุพัสตรา อายุ 35 ปี พ่อและแม่ ของ ด.ช.เอ ( มานสมมุติ ) อายุ 12 ปี นักเรียนโรงเรียนชื่อดังในจังหวัดสระบุรี มี่ถูกรุ่นพี่ ม.2 ดักฟันหน้าห้องน้ำภายใน รร.เดินทางมายัง สภ.เมืองสระบุรี เพื่อแจ้งความ และลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานกับ พ.ต.ท.จิระเดช กันทะสาน สว.สส.สภ.เมืองสระบุรี

จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองสระบุรีได้ลงพื้นตรวจสอบกล้องจงจรปิดตามจุดต่างๆ ภายในบริเวณโรงเรียน พร้อมสอบถามเพื่อนๆนักเรียนในโรงเรียน เพื่อเก็บข้อมูลหลักฐานต่าง นำไปตรวจสอบ และพิสูจน์หาความจริงให้ปรากฏแน่ชัด ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถระบุแน่ชัดได้ว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ยังคงต้องหาหลักฐานจากบาดแผล วัตถุพยาน และสิ่งแวดล้อม

ล่าสุดทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองสระบุรี นำโดย พ.ต.ท.ภัทระ เหล่ามีผล สว.สส.สภ.เมืองสระบุรี ได้เชิญตัวนายพูลเดช (พ่อ) นางสุพัสตรา (แม่) พร้อมด้วย  (น้องม.1) มาสอบสวนยังห้องสอบสวน สภ.เมืองสระบุรี โดยผลการสอบสวน น้อง ม.1  ยอมรับว่าตนเองเป็นคนกุเรื่องขึ้นมา เพื่อเป็นการหยอกล้อเล่นกับเพื่อนๆ ไม่คิดว่าเกิดเหตุการณ์ใหญ่โตเพียงนี้

ทางด้านพ.ต.ท.ภัทระ เหล่ามีผล สว.สส.สภ.เมืองสระบุรี เผยว่าจากการตรวจสอบที่เกิดเหตุนั้น พบข้อพิรุธหลายอย่าง จึงได้กลับมาซักถามกับตัวน้อง ม.1 ซึ่งทางน้องก็ยอมรับว่า ไม่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงสาเหตุเกิดจากการคุยเล่นกับเพื่อน และผู้ปกครองไปได้ยิน และเห็นบาดแผล ซึ่งน้องไปโดนอย่างอื่นบาดมา ก็เลยตกใจได้โพสต์ลงในเฟสบุ๊ก และก็มาแจ้งความ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ปรับความเข้าใจกับผู้ปกครอง เนื่องจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเด็กว่าเหตุการณ์จะบานปลายถึงขนาดนี้ จากนั้นก็ให้ทางผู้ปกครองเข้ามาถอนแจ้งความ

จากนั้นทางนายพูลเดช ได้เดินทางมายัง สภ.เมืองสระบุรี เพื่อพบ พ.ต.ท.จิระเดช กันทะสาน สว.สส.สภ.เมืองสระบุรี เจ้าของคดี เพื่อขอถอนแจ้งความจากกรณีที่ตนเองนั้นได้มาแจ้งความกรณีที่บุตรชายของตนได้มาถูกเพื่อนนักเรียนทำร้ายโดยการฟันเข้าที่แขน โดยนายพูลเดช กรรณิการ์ กล่าวว่าจากการที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าไปสืบสวนภายในโรงเรียน จนพบหลักฐานปรากฏว่าไม่มีเหตุการณ์การทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นจริง ซึ่งตนเองต้องขอยอมรับคำผิดพลาดที่ดำเนินการ นำเรื่องที่ไม่ได้ตรวจสอบโดยละเอียดไปโพสต์ในเพจ ทำให้สังคมเกิดความสับสน และทำให้ โรงเรียนเสียชื่อเสียง ตนเองกราบขออภัยเป็นอย่างสูง เหตุเพราะว่าตนเองก็มีความตกใจ ที่ได้เห็นบาดแผลของลูก และคิดว่าเป็นเรื่องจริงคิดว่าถูกรุมทำร้ายภายในโรงเรียน ทั้งที่ว่าลูกชาย เป็นการพูดคุยเล่นกับเพื่อน ซึ่งตนเองได้จับความโดยที่ไม่ได้สอบถามโดยละเอียดและเชื่อว่าเป็นเหตุการณ์จริง จึงได้นำเหตุการณ์ดังกล่าวไปโพสต์ โดยเจตนาที่ตนเองโพสต์ไปนั้นก็เพื่อที่จะเตือน และให้ทางโรงเรียนได้ดำเนินการหาตัวคนทำผิดให้ได้ เกรงว่าจะเกิดอันตรายกับลูกของตน และนักเรียนคนอื่นๆ ตนเองมีเจตนาที่ดี เพียงแต่ว่าเมื่อมาตรวจสอบแล้วพบว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบแล้วพบว่าไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง

ซึ่งตนเองมีความผิดพลาดที่ได้ดำเนินการไป และได้มาแจ้งความไว้ และในขณะนี้ตนเองได้มาขอถอนแจ้งความ และได้ทำการชี้แจงไปทางเพจ ทางสื่อโซเชียล แล้วระดับหนึ่ง และจะทำการชี้แจงโดยละเอียดเพื่อให้สังคมได้รับทราบอีกครั้งหนึ่ง และตนเองจะทำหนังสือขออภัยไปทาง ผู้อำนวยการโรงเรียน และทางคณะครู และพร้อมที่จะยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ซึ่งตนเองอยากขออภัยต่อสังคม และทางโรงเรียนด้วย นายพูลเดช ได้กล่าวเสริมอีกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการคุยกันสนุกๆกับเพื่อนๆ เหมือนกับว่าเขาอวดกัน เนื่องจากมีกรณีคุยกันเล่นๆว่าเป็นแผล ซึ่งแผลก็เกิดจากการที่ไปโดนไม้บาด จากนั้นก็ไปบอกเพื่อนๆว่าตนเองไปโดนฟันมา ซึ่งเป็นการคุยอวดกัน และเมื่อตนเองได้ยินเข้าก็เชื่อว่าไปโดนฟันมาจริงๆ เพราะความเป็นห่วงลูก และตกใจ และเป็นห่วงจึงลืมตัวไม่ทันได้คิดอะไร คิดว่าเป็นเรื่องจริง

** ชาญวิทย์ คำนวนวุฒิ รายงาน